d-credit
Full Member
 
คะแนนชื่นชม (Like) 0
ออฟไลน์
กระทู้: 179
Join Date: พ.ย., 2011
|
 |
« เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2015, 15:54:02 » |
|
สินเชื่อรถยนต์ ให้ยอดสุง 120% รถผ่อนอยู่ก็ทำได้ ให้สินเชื่อรถแลกเงินรถยังผ่อนอยู่ก็กู้ได้ ไม่ต้องจอดรถ อยากได้เงินสด อยากลดค่างวด อยากย้ายไฟแนนซ์เราทำให้ได้ อยู่ ตจว ก็ทำได้ อาชีพอิสระก็ทำได้ รับรถบรรทุก รถบ้าน และรถตู้ป้ายเหลืองก็ทำได้ เอกสารไม่ยุ่งยาก ขันตอนไม่ยุ่งยาก อนุมัติไว ได้เงินเร็ว คุณสมบัติของผู้สมัคร - สมัครง่าย ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน - ผ่อนนาน 12-72 เดือน - อายุ 20- 60 ปี - สัญชาติไทย เอกสาร 1. สำเนาบัตรประชาชน 2. สำเนาทะเบียนบ้าน 3. สำเนาบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน 4. สลิบเงินเดือน(เดือนล่าสุด)หรือ หนังสือรับรองเงินเดือนก็ได้ 5. สำเนาทะเบียนรถ 6. แผนที่บ้าน และ ที่ทำงาน เอกสารครบ รู้ผลเลย รับเงิน ภายใน 3-7 วันทำการ สนใจสมัคร คลิกที่นี่ http://www.d-credit.com LINE ID : d-credit 0832996658
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31 สิงหาคม 2018, 11:29:50 โดย d-credit »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
Full Member
 
คะแนนชื่นชม (Like) 0
ออฟไลน์
กระทู้: 179
Join Date: พ.ย., 2011
|
 |
« ตอบ #1 เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2015, 17:04:49 » |
|
ขับรถต้องรู้! ข้อควรระวังการใช้ “น้ำมันเครื่อง“
น้ำมันเครื่อง สามารถพิจารณาได้จากการแบ่งระดับ SAE น้ำมันเกรดเดียวจะมีช่วงอุณหภูมิที่สามารถใช้ได้แคบ ดังนั้น น้ำมันเกรดเดียวจึงเหมาะสำหรับแต่ละฤดูต้องการใช้โดยเฉพาะ ส่วนน้ำมันเกรดรวมนั้นสามารถใช้ได้ทุกฤดูกาล เนื่องจากช่วงอุณหภูมิที่สามารถใช้ได้กว้าง ปัจจุบันน้ำมันเกรดรวมเป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย เนื่องจากสามารถใช้ได้ในช่วงอุณหภูมิกว้าง และมีประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันสูง
การแบ่งระดับชั้น SAE คือการแบ่งระดับของน้ำมันโดยความหนืด และช่วงอุณหภูมิสามารถใช้น้ำมันนี้ได้ ระดับ SAE มีทั้งสิ้น 11 ระดับ จาก 0W-60 ดังนี้ 0w, 5w, 10w, 15w, 20w, 25w, 20, 30, 40, 50 และ 60 จำนวนตัวเลขที่มากขึ้นหมายถึง ความหนืดมากขึ้นด้วย (เกรดที่มี W ต่อท้ายจะต้องผ่านการ ทดสอบค่าแรงเสียดทานภายใต้อุณหภูมิต่ำ เหมาะสำหรับภูมิอากาศหนาว )
สาเหตุที่ต้องกำหนดระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแต่ละครั้ง เพิ่มเติมจากการกำหนดการเปลี่ยนถ่าย น้ำมันเครื่องตามระยะทาง เนื่องจากน้ำมันเครื่องค่อยๆ ทำปฏิกิริยารวมตัวกับออกซิเจนในอากาศและเสื่อมสภาพลง แม้ว่าจะไม่ค่อยได้ใช้รถก็ตาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของการเดินทางระยะสั้นๆ เครื่องยนต์หยุดการทำงานก่อนน้ำมันเครื่องจะร้อนขึ้น ทำให้ความชื้นผสมอยู่ในน้ำมันเครื่องไม่มีโอกาสระเหยออกมา ขณะเดียวกัน สารเพิ่มคุณภาพต่างๆ ในน้ำมันจะถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว จะทำให้อายุการใช้งานของน้ำมันเครื่องสั้นลง ดังนั้น การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง จึงถูกกำหนดให้เปลี่ยนตามระยะเวลาด้วย
หากใช้น้ำมันผิดประเภทใช้น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซินไปใช้กับเครื่องดีเซล จะทำให้การหล่อลื่นแย่ลง และเครื่องยนต์เกิดการกัดกร่อนและเสียหายอย่างรวดเร็ว เพราะน้ำมันโซลาร์หรือน้ำมันดีเซลประกอบด้วยสารประกอบ ประเภทกรด เช่น ซัลเฟอร์มากกว่าน้ำมันเบนซิน
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเติมสารเพิ่มคุณภาพประเภทต้านทานการรวมตัวกับออกซิเจน และการป้องกันสนิมลงในเครื่องยนต์ดีเซลมากกว่าเครื่องยนต์เบนซิน เมื่อใช้น้ำมันเครื่อง สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลในรถยนต์เบนซิน ปัญหาจะไม่เกิดขึ้นในระยะสั้น แต่ถ้ายังใช้น้ำมันเครื่องนี้ ต่อไปอีกระยะยาวจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้น เช่น กำลังของเครื่องยนต์ลดลง เพราะการหล่อลื่น ในเครื่องยนต์แย่ลงจะเกิดการสึกหรออย่างรวดเร็ว
น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล ประกอบด้วยสารช่วยชะล้างทำความสะอาดในปริมาณน้อย ทำงานอยู่ในช่วงอุณหภูมิต่ำ-กลาง ดังนั้น เมื่อใช้น้ำมันเครื่องนี้ในเครื่องยนต์เบนซินเป็นระยะเวลานาน ทำให้ความสามารถในการละลายยางเหนียวในน้ำมันอุณหภูมิต่ำไม่เพียงพอ และยางเหนียวจะรวมตัว เป็นตะกอน ขัดขวางการไหลเวียนของน้ำมัน และส่งผลทำให้การหล่อลื่นในเครื่องยนต์แย่ลง
การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องกรณีรถใช้งานไม่หนัก (เช้าขับไปทำงาน-เย็นขับกลับบ้าน) รถไม่ติด ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะหรือไม่ ถ้าสภาพน้ำมันเครื่องยังไม่ดำ ควรจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก 10,000 กม. เพราะรถเป็นรถใช้ตามปกติไม่หนัก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
Full Member
 
คะแนนชื่นชม (Like) 0
ออฟไลน์
กระทู้: 179
Join Date: พ.ย., 2011
|
 |
« ตอบ #2 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2015, 15:34:34 » |
|
4 วิธีล้างรถให้สะอาดเอี่ยมเหมือนใหม่
ถ้าเป็นไปได้คงไม่มีใครอยากขับรถที่ฝุ่นเขรอะ สีรถหมองไม่ชวนมองหรอกจริงมั้ย? ซึ่งโดยปกติแล้วสีของรถที่ ออกมาจากโรงงานสามารถทนทานต่อสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเจ้าของรถละเลยไม่ดูแล โอกาสที่สีจะเสื่อมสภาพเร็วก่อนเวลาอันควรก็มีสูง
1.ไม่ควรปล่อยทิ้งรถให้เลอะฝุ่นโคลนเป็นเวลานานๆ เพราะคราบโคลนจะทำให้สีผิวรถเสื่อม รวมทั้งอาจทำให้สารเคมีที่ติดอยู่ในโคลนซึมลึกเป็นอันตรายต่อสีรถ จนเกิดเป็นรอยด่างบนพื้นผิวรถได้
2.หลีกเลี่ยงการจอดรถกลางแจ้งโดนแดดแรงๆ ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ควรหาผ้าคลุมรถสักหน่อย และไม่ควรล้างรถขณะที่ผิวรถยังร้อนจัด
3.ล้างรถให้ถูกวิธี โดยเริ่มจากการปัดฝุ่นที่อยู่บนรถก่อนสัก 1 รอบ หลังจากนั้นจึงเริ่มล้างรถไล่จากด้านบนลงมา ด้านล่างของตัวรถ สิ่งสำคัญอยู่ที่การใช้ผ้าสะอาดเนื้อนุ่มและน้ำสบู่หรือน้ำยาล้างรถที่ต้องเลือกให้เหมาะสม สุดท้ายคือเช็ดรถให้แห้งทันที ไม่ปล่อยให้รถแห้งเองเพราะจะทำให้รถเป็นรอยด่างน้ำตลอดคัน
4.เคลือบสีรถยนต์กันฝุ่น หลังจากล้างรถจนสะอาดและเช็ดพอหมาดๆ ให้เทน้ำยาเคลือบสีรถใส่ผ้านุ่มๆ แล้วเริ่มเช็ดวนเป็นก้นหอยให้ทั่วรถ หลังจากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วค่อยเช็ดออก วิธีนี้จะช่วยให้สีรถจะไม่กรอบแตก ทนต่อภาวะต่างๆ ได้ดีขึ้น
Be Careful: สารเคมีที่อยู่ในน้ำมันเบรก น้ำมันเชื้อเพลิง และทินเนอร์ เป็นสารเคมีที่อาจทำให้รถเป็นรอยด่าง ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงให้สารเคมีเหล่านี้สัมผัสกับตัวรถจะดีกว่า ข้อแนะนำเพิ่มเติม: ก่อนออกเดินทางทุกครั้งอย่าลืมเช็กด้วยว่า รถของคุณได้ทำประกันภัยรถยนต์และประกัน ยังไม่หมดอายุ เพราะเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา อย่างน้อยก็ยังอุ่นใจว่าประกันภัยจะช่วยแก้ปัญหาและแบ่งเบา ภาระค่าใช้จ่ายแก่คุณได้ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
Full Member
 
คะแนนชื่นชม (Like) 0
ออฟไลน์
กระทู้: 179
Join Date: พ.ย., 2011
|
 |
« ตอบ #3 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2015, 15:59:40 » |
|
ชนแล้วหนี จะเกิดอะไร!?!
ว่ากันว่าฟ้าฝนนั้นห้ามไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับอุบัติเหตุบนท้องถนนจากการขับขี่ ที่บางทีก็เกิดขึ้นโดยกระทันหัน ไม่ทันได้ตั้งตัว บางคนขับรถไปเฉี่ยวชนคนแล้วชิ่งหนี ด้วยกลัวความผิด ไม่รู้ทำยังไงดี อันนี้แย่นะครับ ขอบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดมากๆ เพราะนอกจากจะเจอโทษหนักในภายหลังแล้วตราบาปในใจยังยากจะลบเลือน
หากคุณไม่อยากถูกตราหน้า ขึ้นชื่อว่าเป็น “นักซิ่งตีนผี” รู้จักวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องหลังเกิดอุบัติเหตุเอาไว้ ผ่อนหนักให้เป็นเบา ดีกว่านะครับ
เมื่อขับรถชน “อย่าหนี”
คุณประสบอุบัติเหตุขับรถชน สิ่งแรกที่ต้องทำคือ “ตั้งสติ และ อย่าหนี” เพราะความผิดฐานขับรถประมาทนั้น ไม่ใช่เรื่องเจตนา ผู้กระทำผิดไม่ใช่อาชญากร จึงควรจะอยู่เพื่อต่อสู้กับความจริง มิฉะนั้นท่านจะต้องหลบหนี นานถึง 15 ปี ถ้าคนที่ท่านขับไปชนนั้นเกิดเสียชีวิต และอาจเจอข้อหาหนักอื่นๆ อีกด้วย แต่ถ้าท่านช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ มอบตัวสู้คดี บางทีคดีอาจยอมความกันได้ และศาลก็ปรานีลดโทษให้ตามความถูกต้องเหมาะสม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
Full Member
 
คะแนนชื่นชม (Like) 0
ออฟไลน์
กระทู้: 179
Join Date: พ.ย., 2011
|
 |
« ตอบ #4 เมื่อ: 2 มิถุนายน 2015, 16:37:41 » |
|
ข้อควรปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน
1. เมื่อเกิดอุบัติเหตุจะต้องทำเครื่องหมายสัญญาณให้เห็นชัดเจน
เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นซ้ำ เช่น วางป้าย สิ่งของ เป็นสัญญาณให้รถคันอื่นสังเกตเห็นได้ เมื่อมีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ
2. ให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นแก่ผู้บาดเจ็บ และรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยเร็ว
แต่หากคุณตื่นตกใจ อาจทำอะไรไม่ถูก ควรโทร 1669 หมายเลขรับแจ้งอุบัติเหตุ การเจ็บป่วยฉุกเฉิน ซึ่งจะให้คำแนะนำในการปฐมพยาบาล และส่งรถพยาบาลมายังจุดเกิดเหตุ ซึ่งบริการของ โทร 1669 เป็นสวัสดิการฟรี ผู้บาดเจ็บไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเรียกใช้บริการรถพยาบาลแต่อย่างใด
3. แจ้งตำรวจ เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน
ไม่ว่าจะมีผู้บาดเจ็บหรือไม่ ต้องรีบแจ้งตำรวจในท้องที่โดยเร็วที่สุด (โทร. 191) เพื่อตำรวจจะได้ทำการตรวจสอบที่เกิดเหตุ และลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน และตำรวจจะเป็นผู้สั่งให้เคลื่อนย้ายรถออกจากสถานที่เกิดเหตุได้
4. แจ้งประกันภัย
เพื่อให้บริษัทประกันภัย ตรวจสอบรายละเอียดของเหตุ และความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วออกเอกสารเคลมให้ เพื่อนำไปติดต่อประเมินราคาและซ่อม กับบริษัทประกัน โดยหลักการประกันภัย บริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับ ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งของยานพาหนะและบุคคลภายนอก รวมถึงคดีทางแพ่ง ภายในวงเงินที่ระบุไว้ในสัญญา
5. เตรียมเอกสาร
เช่น สำเนากรมธรรม์ประกันภัยรถคันที่เกิดเหตุ สำเนาบัตรประชาชน หรือหลักฐานอื่นใดที่ออกโดยราชการ กรณีเรียกร้องค่าเสียหาย
นี่คือข้อควรรู้เบื้องต้นในการปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ อย่างไรก็ตามการปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และใช้รถใช้ถนนอย่างมีสติ มีน้ำใจ จะช่วยให้คุณปลอดภัยไกลจากอุบัติเหตุได้ดีที่สุดครับ
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : กรมการประกันภัย, lannalaw
ที่มา Kaidee.com
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
Full Member
 
คะแนนชื่นชม (Like) 0
ออฟไลน์
กระทู้: 179
Join Date: พ.ย., 2011
|
 |
« ตอบ #5 เมื่อ: 5 มิถุนายน 2015, 16:50:33 » |
|
สัญญาณเตือนภัย จากพวงมาลัย
พวงมาลัยรถยนต์ทำหน้าที่ควบคุมทิศทางของรถ หากเกิดปัญหาขึ้นมาย่อมเป็นอันตรายแน่นอน สำหรับสัญญาณเตือนภัยที่บอกว่ารถของคุณกำลังมีปัญหา สามารถตรวจสอบได้ดังนี้
1.อาการพวงมาลัยสั่น
หลายคนเจอบ่อย เกิดจากยางเก่าหรือมีสิ่งผิดปกติกับยาง แต่ถ้าสั่นเฉพาะที่ความเร็วใดความเร็วหนึ่ง มักเกิดจากการถ่วงล้อ แต่ถ้าสั่นเพิ่มตามความเร็วของรถ จะเกิดจากลูกปืนล้อหรือโช้กอัพอาจจะเสีย หรือยางเครื่องแท่นเกียร์ชำรุด ก็ทำให้พวงมาลัยสั่นได้เช่นกัน นอกจากนี้ ยังสามารถเกิดขึ้นได้จาก การขันนอตล้อไม่แน่น หรือรูนอตล้อไม่ดี ทำให้ล้อไม่ได้ศูนย์ และบางทีก็เป็นปัญหาจากตัวล้อเองที่บิดเบี้ยว
2.อาการพวงมาลัยหลวมมีช่วงฟรีมาก
ทำให้ควบคุมทิศทางได้ยาก บางทีเกิดขึ้นจากพวงมาลัยเองบางครั้งอาจเกิดจากลูกหมากปลายแร็ก โดยจะมีเสียงดังตอนเลี้ยว ต่อมาอาการเสียงดัง แสดงว่าเกิดการสึกหรอของชิ้นส่วนบางอย่าง หากปล่อยทิ้งไว้ อาจมีผลต่อการควบคุมทิศทาง อย่างเช่น ลูกหมากปลายแร็กที่มีปัญหา หรืออาจเกิดจากการสึกหรอของฟันแร็ก ความห่างของลูกปืนในกระปุกพวงมาลัยกับลูกปืนคอพวงมาลัย และที่มีปัญหามากคือ การหลวมคลอนของข้อต่อแกนพวงมาลัย
3.อาการพวงมาลัยหนัก
เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ขาด สายพานหย่อน แต่ถ้าหนักเฉพาะ ตอนเลี้ยวข้างใดข้างหนึ่งมักจะเป็นที่วาล์ว รถรุ่นใหม่อาจเป็นเพราะปั๊มเพาเวอร์ไฟฟ้าบกพร่อง หรือแรงดันลมยางโดยเฉพาะล้อหน้าอ่อนเกินไปหรือศูนย์ล้ออาจมีปัญหา
4.อาการพวงมาลัยเลี้ยวแล้วไม่คืน
ตัวการหลักมักเกิดขึ้นจากศูนย์ล้อไม่ถูกต้อง ควรไปร้านตั้งศูนย์ด่วน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
Full Member
 
คะแนนชื่นชม (Like) 0
ออฟไลน์
กระทู้: 179
Join Date: พ.ย., 2011
|
 |
« ตอบ #6 เมื่อ: 8 มิถุนายน 2015, 16:05:04 » |
|
3ค่ายญี่ปุ่นเรียกรถคืน มาสด้า-ซูบารุ-มิตซูบิชิ ประกาศเรียกรถคืนอีกกว่า 7.1 แสนคัน เซ่นวิกฤตถุงลมนิรภัย ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของญี่ปุ่น คือ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ป, ฟูจิ เฮฟวีส์ อินดัสตรีส์ (ซูบารุ) และมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ป ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ว่า เตรียมประกาศเรียกรถยนต์คืนอีกราว 7.1 แสนคัน เนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับถุงลมนิรภัย ที่ผลิตโดย ทากาตะ ซึ่งกำลังประสบปัญหาอื้อฉาว.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/ยานยนต์/เปิดโลกยานยนต์/366411/3ค่ายญี่ปุ่นเรียกรถคืน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
Full Member
 
คะแนนชื่นชม (Like) 0
ออฟไลน์
กระทู้: 179
Join Date: พ.ย., 2011
|
 |
« ตอบ #7 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2015, 14:59:53 » |
|
มือใหม่เลือกรถ คันไหนที่ใช่ ป้ายแดงหรือมือสอง
หลายคนมีความคิดที่ตั้งใจจะถอยรถยนต์สักคัน แต่มักจะมีปัญหาที่คิดไม่ตกอย่าง จะเลือกอะไรดี ระหว่าง รถใหม่ป้ายแดงหรือ รถมือสองราคาสุดคุ้ม เราจึงรวบรวมข้อดี และข้อเสีย ของการออกรถใหม่ และรถมือสอง เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่าย และได้รถแบบที่ตรงใจคุณ
รถใหม่ป้ายแดง
ข้อดี
- ได้สเปคตรงใจคุณทั้งคัน : เพราะเป็นรถมือใหม่ป้ายแดง คุณจึงสามารถเลือกรถเองได้ตามใจคุณทั้งคัน ทั้งสี เบาะ กระจก ฟิล์ม ชอบแบบไหนก็เลือกได้เลย
- ประกันแบบเต็มๆ : เมื่อซื้อรถป้ายแดง สิ่งที่ตามมาด้วยก็คือประกันศูนย์ที่พร้อมจะดูแลแบบจัดเต็ม ทั้งการเช็คระยะ การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หรือหากรถมีปัญหาจะต้องซ่อมเปลี่ยนอะไรก็แล้วแต่ ยังมีส่วนลดของอะไหล่ด้วย
รุ่นใหม่ เทคโนโลยีแจ่มว้าว :เป็นเหมือนสิ่งของทั่วไปที่รุ่นใหม่ๆ ออกมาเทคโนโลยีก็จะพัฒนาขึ้นไปอีก รถใหม่ป้ายแดงของคุณก็อาจจะมีระบบเชื้อเพลิงที่ดีกว่า ประหยัดน้ำมันได้มากกว่า หรืออาจจะมีเทคโนโลยีเชื้อเพลิงประหยัดน้ำมันใหม่ๆ มาอีก
ข้อเสีย
- ใช้เงินค่อนข้างสูงในการซื้อ : แค่เงินดาวน์ก็ไม่ใช่เล่นๆ แล้วยังมีค่าเบี้ยประกัยรถยนต์ที่แพงกว่ารถมือสองหลายส่วน
- อาจต้องรอคิวในการรับรถ : ถ้ารถรุ่นที่อยากได้ดันเป็นรุ่นยอดนิยมแบบสุดๆ คุณอาจจะต้องต่อคิวรอตามใบสั่งซื้อ กว่าจะได้จับคันจริงคงจะต้องรออีกหลายเดือนเลยทีเดียว
- ค่าเสื่อมในตัวรถ : ถ้าจะซื้อรถใหม่ป้ายแดงอาจจะต้องทำใจสักหน่อย เพราะแค่ซื้อก็ราคาตกแล้วด้วยค่าเสื่อมราคา ซึ่งมีเรทสูง 30-50%
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
Full Member
 
คะแนนชื่นชม (Like) 0
ออฟไลน์
กระทู้: 179
Join Date: พ.ย., 2011
|
 |
« ตอบ #8 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2015, 15:32:44 » |
|
ข้อเสีย
- ใช้เงินค่อนข้างสูงในการซื้อ : แค่เงินดาวน์ก็ไม่ใช่เล่นๆ แล้วยังมีค่าเบี้ยประกัยรถยนต์ที่แพงกว่ารถมือสองหลายส่วน
- อาจต้องรอคิวในการรับรถ : ถ้ารถรุ่นที่อยากได้ดันเป็นรุ่นยอดนิยมแบบสุดๆ คุณอาจจะต้องต่อคิวรอตามใบสั่งซื้อ กว่าจะได้จับคันจริงคงจะต้องรออีกหลายเดือนเลยทีเดียว
- ค่าเสื่อมในตัวรถ : ถ้าจะซื้อรถใหม่ป้ายแดงอาจจะต้องทำใจสักหน่อย เพราะแค่ซื้อก็ราคาตกแล้วด้วยค่าเสื่อมราคา ซึ่งมีเรทสูง 30-50%
รถมือสอง
ข้อดี
- ได้รถรุ่นที่สูงขึ้นในราคาที่เท่าเดิม : เพราะเป็นรถมือสองราคาจึงถูกกว่ารถมือหนึ่ง จนบางทีคุณอาจจะได้ Honda Civic ในราคาของ Honda City เลยล่ะ
- ใช้เงินในการออกรถน้อยกว่าแต่คุ้มค่ามากกว่า : เพราะเป็นรถที่มือหนึ่งมักจะราคาตกค่อนข้างเร็ว บางทีการใช้งานของรถอาจ จะไม่ได้หนักมาก แต่สภาพยังดูดีสุดๆ เรียกได้ว่าคุ้มแบบ 2 ต่อ สบายกระเป๋า ได้รถถูกใจ
- ได้รถแต่งมาพร้อมแบบสวยเช้ง : รถมือสองหลายคันมักผ่านการตกแต่งมาอย่างเต็มที่ เช่น เครื่องเสียง, ล้อแม็ก, ซันรูฟ เป็นต้น ทำให้คุณอาจจะได้รถที่โดนใจแถมแต่งมาเรียบร้อยในราคาแสนคุ้ม
- เลือกซื้อและเปรียบเทียบได้ง่ายตั้งแต่อยู่บ้าน : ปัจจุบันมีเว็บไซต์ซื้อขายรถมือสองเป็นจำนวนมาก ทำให้ง่ายต่อการเลือกซื้อ และบางเว็บก็มีการบริการที่รองรับในหลายๆ ด้าน
ข้อเสีย
- รถผ่านการใช้งานมาแล้ว : ขึ้นชื่อว่ารถมือสองย่อมผ่านการใช้งานมาแล้วแน่นอน ซึ่งก่อนซื้อคุณอาจจะมีผู้เชี่ยวชาญสักคน ไปช่วยดูรถที่คุณสนใจให้มั่นใจได้ว่า รถมือสองสภาพพร้อมใช้งานแค่ไหน
- หารถโดนใจยาก : บางทีรถที่อยากได้ก็หายากมาก จนต้องตระเวนตามเต็นท์รถจนแทบถอดใจ ไม่เหมือนกับรถมือหนึ่งที่ สามารถเลือกได้ตรงที่ต้องการ ข้อแนะนำสำหรับการหารถมือสองโดนใจควรลองเข้าเว็บไซต์รถมือสองที่มีรถให้เลือกมากมายหลายรุ่น ยกตัวอย่างเช่น Krungsri Market ที่นอกจากจะมีให้เลือกแล้วยังสามารถฟีเจอร์ที่ช่วยให้ค้นหารถที่โดนใจได้ง่ายขึ้น ทำให้ได้รถโดนใจโดยไม่ต้องเดินทางตามหา
สำหรับใครที่กำลังจะเล็งซื้อรถใหม่ก็สามารถลองเปรียบเทียบจากข้อดีข้อเสียด้านต้นแล้วลองช่างใจดูว่า แบบไหนที่จะโดนใจคุณ!
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
Full Member
 
คะแนนชื่นชม (Like) 0
ออฟไลน์
กระทู้: 179
Join Date: พ.ย., 2011
|
 |
« ตอบ #9 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2015, 15:15:17 » |
|
เทคนิคเลือกฟิล์มรถยนต์ ..เรื่องที่ไม่ควรมองข้าม
ยานยนต์ "มติชน" มีข้อแนะนำการเลือกฟิล์มกรองแสงคุณภาพดี ควรมีคุณสมบัติต่างๆ ของฟิล์ม เช่น % การลดความร้อน, % การลดรังสียูวี, % การสะท้อนแสง, % แสงส่องผ่าน ต้องเป็นค่ามาตรฐานจากโรงงานผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ และควรเป็นไปตามมาตรฐานโรงงานผู้ผลิตที่มีแหล่งที่มาชัดเจน นำเข้ามาจากโรงงานที่ผ่านมาตรฐานที่สากลยอมรับ มีที่ตั้งชัดเจน
โดยทั่วไปการรับประกันคุณภาพจะไม่ต่ำกว่า 7 ปี และสิ้นสุดเมื่อมีการเปลี่ยนชื่อเจ้าของรถ ดังนั้น ผู้บริโภคจึงต้องเลือกบริษัทตัวแทนจำหน่ายที่มั่นใจว่าตลอดระยะเวลาการรับประกัน บริษัทจะยังคงดำเนินธุรกิจฟิล์มกรองแสงอยู่อย่างมั่นคง และพร้อมจะรับผิดชอบหากฟิล์มที่ติดตั้งไปเกิดปัญหาใดๆ ขึ้น
ราคาต้องสมเหตุสมผล เหมาะสมกับคุณภาพในระดับยอมรับได้ ไม่ใช่ต้องแพงเพียงเพราะมีชื่อเสียงมานานหรือเพราะโฆษณาเกินจริง ทำให้ตั้งราคาแพงหรือสูงขึ้นอีก ไม่สมคุณภาพที่โฆษณาไว้
ควรพิจารณาถึงวิธีการทดสอบคุณภาพของฟิล์มกรองแสงด้วยว่าเชื่อถือได้หรือไม่ เช่น ไม่ควรทดสอบฟิล์มด้วยแสงสปอตไลต์ เพราะเวลาเราขับรถจริงๆ เราขับรถภายใต้แสงแดด และแหล่งกำเนิดแสงทั้งสองชนิดนี้ก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง บางครั้งยังมีกรณีฟิล์มที่ใช้เวลาทดสอบกับฟิล์มที่นำมาติดตั้งให้นั้นเป็นคนละชนิดกัน หรือใช้ฟิล์มติดตั้งซ้อนทับกันสองชั้นในการทดสอบ จุดนี้ผู้บริโภคต้องพึงระวัง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
Full Member
 
คะแนนชื่นชม (Like) 0
ออฟไลน์
กระทู้: 179
Join Date: พ.ย., 2011
|
 |
« ตอบ #10 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2015, 16:04:39 » |
|
เทคนิคเลือกฟิล์มกรองแสงกันความร้อนสู่ห้องโดยสารช่วยประหยัดพลังงานที่ใช้ทำความเย็นแล้วช่วยยืดอายุชิ้นส่วนภายใน ต่อมาคือเพื่อให้เกิดความปลอดภัย ต้องยอมรับว่าฟิล์มทึบสามารถพรางภายในรถไม่ให้คนภายนอกมองเข้าไปเห็นได้ นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องของความปลอดภัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ที่เหลือเป็นเรื่องของความสวยงาม เพราะมีฟิล์มแบบแฟชั่นให้ ความสวยงามกับรถยนต์ได้ด้วย
ความเข้าใจที่ว่าฟิล์มที่มีสีเข้มหรือทึบช่วยลดความร้อนได้ดี ในความจริงแล้วสีของฟิล์มไม่ได้เป็นตัวช่วยลดความร้อน แต่กลับเป็นสารเคลือบตัวอื่นๆ ที่ทำหน้าที่หลักนี้
ทุกวันนี้ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์จะขายผ่านร้านประดับยนต์ร้านติดตั้งเครื่องเสียงจะมีทั้งได้รับแต่งตั้งจากผู้จำหน่ายโดยตรง กับไม่ได้รับการแต่งตั้ง ร้านที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งจะนำฟิล์มเข้ามาจำหน่ายเอง เสี่ยงต่อฟิล์มคุณภาพต่ำ บางแห่งก็เสนอฟิล์มแบบมียี่ห้อให้ดู พอตอนติดตั้งแอบไปเอาฟิล์มอะไรไม่รู้มาติดรถ
ควรเลือกร้านที่มีห้องสำหรับการติดฟิล์มโดยเฉพาะ เนื่องจากฝุ่นคือศัตรูตัวร้ายกาจของการติดฟิล์ม
ฝีมือช่างต้องชำนาญ หากต้องการให้ฟิล์มอยู่คงทนนาน ช่างติดฟิล์มจะต้องมีฝีมือในการกรีดฟิล์ม เพราะหากฝีมือไม่ดีพอ เวลากรีดฟิล์มลงสู่กระจกจะทำให้ฟิล์มไม่เสมอกัน โดยเฉพาะตรงขอบกระจก และถ้าเลวร้ายไปกว่านั้น บางครั้งอาจกรีดโดนกระจกรถยนต์และทำให้เป็นรอยได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
Full Member
 
คะแนนชื่นชม (Like) 0
ออฟไลน์
กระทู้: 179
Join Date: พ.ย., 2011
|
 |
« ตอบ #11 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2015, 15:00:06 » |
|
ฟิล์มกรองแสงที่ดีจะต้องพิจารณาจากคุณสมบัติของกาวด้วยกาวที่ดีต้องมีความบางใสและเหนียว เมื่อติดแล้วต้องทนทานต่อสภาวะความร้อนเย็นของกระจกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ยึดติดกับกระจกได้ดี ไม่ทำให้ฟิล์มกรองแสงนั้นๆ พอง ลอก ล่อน เป็นฟองอากาศ อีกทั้งกาวที่ดีควรมีคุณสมบัติที่ติดแน่นกับเนื้อฟิล์ม เมื่อต้องการลอกฟิล์มออกมา กาวควรอยู่บนด้านฟิล์มมิใช่ด้านกระจก รวมทั้งกาวจะต้องไม่เปลี่ยนสี ก่อให้เกิดการเปลี่ยนสีของฟิล์มที่ติด ที่เรียกว่าฟิล์มเป็นสนิม
ฟิล์มที่ดีจะต้องป้องกันรอยขีดข่วนหรือเคลือบสารกันรอยขีดข่วนฟิล์มกรองแสงทำมาจากโพลีเอสเตอร์ มีจุดอ่อนในเรื่องความอ่อนของผิว มักสามารถเป็นรอยเส้นคล้ายรอยขนแมวได้ง่าย แต่ปัจจุบันได้มีการคิดค้น สารเคมีที่ทำหน้าที่เคลือบแข็งบนผิวของฟิล์ม ทำหน้าที่ในการป้องกันการขีดข่วนจากการใช้งานปกติ
จำไว้ว่าฟิล์มกรองแสงที่ดีไม่ใช่ฟิล์มที่ช่วยลดแสงจ้าได้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีความสามารถในการ สะท้อนแสงอาทิตย์ได้ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายในการขับขี่ รวมทั้งช่วยประหยัดพลังงานในการทำงาน ของเครื่องปรับอากาศในรถด้วย
ที่มา: มติชนรายวัน 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
Full Member
 
คะแนนชื่นชม (Like) 0
ออฟไลน์
กระทู้: 179
Join Date: พ.ย., 2011
|
 |
« ตอบ #12 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2015, 12:13:13 » |
|
จะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่ควรใช้ “ไฟตัดหมอก“?
รถยนต์รุ่นใหม่ๆที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน มักจะมาพร้อมอุปกรณ์ส่องสว่างที่เรียกว่า "ไฟตัดหมอก" ซึ่งมีประโยชน์อย่าง มากหากใช้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของมัน แต่จะกลายเป็นดาบสองคมทันทีหากใช้ผิดที่ผิดทาง
แล้วแบบนี้จะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่ควรเปิดไฟตัดหมอก? จึงขอแนะนำการใช้งานไฟตัดหมอกอย่างถูกวิธีกันครับ
ไฟตัดหมอกถือว่าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งในรถยุโรปแบรนด์หรูส่วนใหญ่มาร่วม 30 ปีแล้ว ซึ่งมีทั้งที่ติดตั้งไว้ในชุดโคมไฟใหญ่ และแยกออกมาติดตั้งไว้บริเวณกันชน รวมถึงไฟตัดหมอกหลังที่มักอยู่ในชุดโคมเดียวกับไฟท้าย พร้อมสวิตช์ปิด-เปิดอยู่ภายในรถ
ขณะที่รถจากฝั่งญี่ปุ่นนั้น 'ไฟตัดหมอก' ก็ถูกติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเกือบทุกรุ่นที่วางจำหน่ายในปัจจุบันแล้วเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นไฟตัดหมอกด้านหน้า ขณะที่ไฟตัดหมอกหลังยังคงมีให้เป็นบางรุ่น บางยี่ห้อเท่านั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
Full Member
 
คะแนนชื่นชม (Like) 0
ออฟไลน์
กระทู้: 179
Join Date: พ.ย., 2011
|
 |
« ตอบ #13 เมื่อ: 1 กรกฎาคม 2015, 11:21:00 » |
|
'ไฟตัดหมอกหน้า' ส่วนใหญ่มักมีความเข้มของแสงใกล้เคียงกับไฟหน้าฮาโลเจนทั่วไป แต่มีความพิเศษอยู่ที่ลำแสงที่พุ่งออกมานั้น จะถูกปรับให้ส่องลงพื้นและออกไปทางด้านข้างมากกว่าไฟหน้าปกติ โดยมีวัตถุประสงค์ดั้งเดิมเพื่อให้ผู้ขับสามารถมองเห็น ขอบถนนได้ง่ายขึ้น ในเวลาที่ทัศนวิสัยด้านหน้าแย่มาก (เช่น ฝนตกหนัก, หมอกลงจัด ฯลฯ) ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถประคองรถ ให้อยู่ในเลนไปได้เรื่อยๆ
ขณะที่ไฟตัดหมอกสมัยใหม่จะถูกออกแบบลำแสงให้เลี่ยขนานไปกับพื้นถนนด้วย เพื่อช่วยเสริมการทำงานของไฟหน้าให้ผู้ขับขี่ สามารถมองเห็นทางได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งไฟตัดหมอกประเภทนี้มักพบในรถยุโรป และรถญี่ปุ่นบางยี่ห้อ โดยไฟลักษณะนี้หากเผลอเปิด ทิ้งไว้ในสภาพอากาศปกติ จะไม่กระทบกับสายตารถที่วิ่งสวนมาเท่าใดนัก (ยกเว้นพื้นถนนเปียกอาจสะท้อนเข้าตาได้เหมือนกัน)
ส่วนไฟตัดหมอกที่ติดตั้งในรถญี่ปุ่นบางรุ่น มีลักษณะการกระจายแสงไปด้านหน้าแบบทั่วทิศทาง (หากนึกไม่ออกลองนึกถึง ไฟฉายที่สามารถกระจายแสงได้กว้างๆนั่นแหละ) ซึ่งไฟตัดหมอกประเภทนี้มีประโยชน์ในการช่วยให้ผู้ขับขี่ที่สวนทางมามองเห็น ได้จากระยะไกลขึ้นกว่าเดิม ในสภาพที่ทัศนวิสัยอยู่ในระดับแย่มาก แต่หากสภาพอากาศเป็นปกติแล้วนั้น ไฟตัดหมอกประเภทนี้จะแยงสายตาผู้ร่วมทางเป็นอย่างมากเช่นกัน
ส่วนไฟตัดหมอกหลังนั้น จะมีลักษณะเป็นแสงสีแดงพุ่งตรงไปทางด้านหลัง มีความเข้มของแสงเท่ากับหรือมากกว่า ไฟเบรกเล็กน้อย เพื่อให้ผู้ขับขี่ที่ตามมาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในสภาวะฝนตกหนักหรือหมอกลงจัด ช่วยป้องกันอุบัติชนท้ายได้ดีกว่าไฟท้ายปกติ แต่แสงที่ว่าจะแยงตาผู้ร่วมทางเป็นอย่างมาก หากเปิดใช้ในสภาพอากาศปกติ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
Full Member
 
คะแนนชื่นชม (Like) 0
ออฟไลน์
กระทู้: 179
Join Date: พ.ย., 2011
|
 |
« ตอบ #14 เมื่อ: 9 กรกฎาคม 2015, 14:53:58 » |
|
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่ควรเปิดไฟตัดหมอก?
โดยปกติแล้ว ไฟตัดหมอกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จะมีการเปิดใช้ก็ต่อเมื่อสภาพอากาศภายนอกแย่จัด จนส่งผลกระทบต่อทัศนวิสัยเท่านั้น (หากฝนตกปอยๆ แบบใช้ที่ปัดน้ำฝนช้าๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดหรอกครับ) ให้สังเกตว่าหากเราไม่สามารถมองเห็นไฟท้ายรถคันหน้าท่ามกลางสายฝนในระยะ 50-100 เมตร ก็สามารถเปิดไฟตัดหมอกช่วยได้แล้วครับ เมื่อทัศนวิสัยกลับมาเป็นปกติก็ให้รีบปิดไฟตัดหมอกโดยทันที
ขับรถทางไกลมืดๆ เปิดไฟตัดหมอกหน้าทิ้งไว้ดีหรือไม่?
จริงอยู่ที่ว่า เมื่อเปิดไฟตัดหมอกคู่กับไฟหน้า จะทำให้ไฟหน้าดูสว่างขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะส่องได้ไกลขึ้นแต่อย่างใด แถมยังอาจรบกวนสายตาผู้ร่วมทางที่วิ่งสวนมาอีกต่างหาก ทางที่ดีผู้ที่ต้องขับขี่ทางไกลยามวิกาลบ่อยๆ การลงมือปรับตั้งไฟหน้า ให้ส่องสว่างได้ไกลขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย จะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า (แต่ต้องไม่ปรับให้สูงจนแยงตารถคันที่สวนมาด้วยนะครับ)
'ไฟตัดหมอก' ถือเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้มากหากใช้งานอย่างถูกต้อง หากรถของคุณติดตั้งมาให้ด้วยแล้วล่ะก็ อย่าลืมใช้งานอย่างถูกวิธีด้วยนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|